นโยบายของจริง ประชาชนร่วมได้จริง สังคมได้ประโยชน์จริง

Back
นโยบายของจริง ประชาชนร่วมได้จริง สังคมได้ประโยชน์จริง

คุณณัฐพงษ์ จารุวรรณพงศ์ ได้กล่าวปาฐกถานำ ในหัวข้อ “นโยบายของจริง ประชาชนร่วมได้จริง สังคมได้ประโยชน์จริง” ในงานปาฐกถาไพบูลย์วัฒนศิริธรรม ครั้งที่ 9 เมื่อ วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2566 ณ หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้ตีความแยกออกมาเป็น 3 ประเด็น สรุปได้ดังนี้

  1. นโยบายของจริง ตีความว่าการแก้ปัญหาอะไรสักอย่าง การตั้งคำถามที่ถูกอาจสำคัญกว่าคำตอบ เพราะถ้าตั้งคำถามผิด ถึงคำตอบถูกก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร
  2. ประชาชนร่วมได้จริง มีคำถามมากกว่าคำตอบ เพราะคนเราคิดไม่เหมือนกัน การร่วม คือร่วมอะไร ร่วมเสนอหรือร่วมตัดสินใจ หรือร่วมทำด้วย หรือร่วมติดตาม
  3. สังคมได้ประโยชน์จริง ปัจจุบันสังคมพัฒนาไปไกลมาก สมัยก่อนมีทีวีอยู่ไม่กี่ช่อง ช่องทางการติดต่อสื่อสารน้อยมาก สิ่งที่เราเคยเชื่อว่าจริงหรือสิ่งที่เราเชื่อว่าดีไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ปัจจุบันข้อมูลเดียวกัน ข้อเท็จจริงเดียวกัน ภายใต้ความหลากหลาย เรายังคิดไม่เหมือนกัน แล้วยิ่งถูกไปแปลงสารอีก แม้คำว่า “สังคม” ก็ยังถูกตั้งคำถามว่า ที่ว่าสังคมได้ประโยชน์ คือใครที่ได้ประโยชน์ “ใคร” ที่เรียกว่า “สังคม” เช่น ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ตัวเองได้ประโยชน์ถือว่าสังคมได้ประโยชน์หรือไม่ ?

ประเด็นที่ 1 นโยบายของจริง การตั้งคำถามที่ถูกต้องทำไมจึงสำคัญ เมื่อเราตั้งคำถามผิด วิธีการกับคำตอบผิดแน่นอน

กรณีตัวอย่าง

กรณีน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เรามีปัญหาเรื่องน้ำสะอาดมาก คำถามคือ อะไรคือโจทย์ของปัญหาการขาดแคลนน้ำสะอาดในสภาวะน้ำท่วม ระหว่าง A การทำอย่างไรให้เอาน้ำเข้าไปถึงคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม กับ B ทำอย่างไรให้คนมีน้ำสะอาดบริโภค สองคำถามนี้อาจฟังดูคล้ายกันแต่ผลลัพธ์ต่างกัน

หากคิดตามคำถาม A จะคิดว่าทำอย่างไรให้รถกับเรือขนสิ่งที่ประชาชนช่วยกันบริจาคไปถึงคนในพื้นที่น้ำท่วมให้ได้ ซึ่งข้อจำกัดในขณะนั้น คือคนที่อยู่ใกล้จุดที่รถไปถึงจะได้ของแต่คนที่อยู่ไกลไม่ได้

หากตั้งโจทย์ใหม่ โดยดูจากสถานการณ์ของผู้ประสบภัยน้ำท่วม เขาไม่ได้ขาดแคลนน้ำ มีน้ำอยู่เต็มหน้าบ้านเขาเลย แต่สิ่งที่เขาขาดคือน้ำสะอาดสำหรับบริโภค อาจเกิดความคิดใหม่ โดยเปรียบเทียบกับกรณีของทวีปแอฟริกาที่มีผู้ประกอบการทางสังคมเขาตั้งโจทย์แบบนี้ เขาจึงคิดค้นวิธีการว่าจะมีเครื่องกรองน้ำขนาดเล็กที่สามารถส่งไปในพื้นที่ที่กันดารได้หรือไม่ ซึ่งมีน้ำอยู่แต่อาจไม่มีน้ำสะอาดบริโภค ดังนั้นรูปแบบการจัดการจึงต่างกันออกไป

กรณีหมอกควันที่เชียงใหม่ โจทย์ปัญหาที่แท้จริงของหมอกควันคืออะไร

  1. ทำอย่างไรให้ภาครัฐหันมาสนใจ
  2. ทำอย่างไรให้คนบนดอยหรือเกษตรกรจะเข้าใจและเลิกเผาสักที
  3. ตั้งโจทย์ใหม่โดยมองดูว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของรัฐหรือเกษตรกร แต่เป็นเรื่องของทุกคน แล้วตั้งโจทย์ใหม่ว่าคนเชียงใหม่จะมีส่วนช่วยกันอย่างไรให้คนบนดอยและเกษตรกรมีรูปแบบการประกอบอาชีพที่ไม่ต้องเผา

ทั้ง 3 โจทย์นำมาซึ่งคำตอบที่ต่างกัน

โจทย์ที่ 1 จะเห็นกิจกรรมใส่หน้ากาก ติดป้ายเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาสนใจแก้ปัญหาหมอกควัน ซึ่งก็ได้ผล วันรุ่งขึ้นได้ลงข่าวไทยรัฐ คำถามคือผลที่เขาอยากได้คือแค่นี้หรือ เพราะ 2 วันต่อมาฝนตกก็หายไป กระแสก็หายไป สื่อก็ไม่เล่น

โจทย์ที่ 2 แบบนี้ความผิดคือชาวบ้าน จะถูกนำไปแปลงเป็นนโยบาย จะเห็นมาตรการรุนแรง ใครเผาจับลงโทษขนาดหนัก ในขณะที่ชาวบ้านเองก็มีปัญหาเรื่องหนี้สิน ทางเลือกในการแก้ปัญหาการเพาะปลูกจึงมีจำกัด

โจทย์ที่ 3 ที่ประเทศแคนาดาเขามีปัญหาเรื่องป่าในพื้นที่สูงเหมือนกัน พอตั้งโจทย์ใหม่ ว่าคนจะเข้ามาช่วยกันได้อย่างไร จึงเกิดนวัตกรรมสังคมหนึ่งที่เรียกว่า Ecotrust ระดมทุนจากคนข้างล่างแล้วเอาเงินเหล่านี้ไปบริหารจัดการ แล้วก็ทำให้เกิดป่าถาวร

การตั้งคำถามที่ต่างออกไปจะทำให้เราเริ่มคิดวิธีการที่ต่างออกไป

ประเด็นที่ 2 ประชาชนร่วมได้จริง รัฐธรรมนูญใส่ไว้ในมาตรา 77 เมื่อพูดเรื่องกฎหมายหรือนโยบายที่เป็นสาธารณะ มีข้อบังคับอยู่ 2 เรื่อง  1) เผยแพร่ออนไลน์คือภายใน 15 วัน 2) ต้องรับฟังความคิดเห็น 1 ครั้ง เวลาร่างกฎหมายคนส่วนใหญ่ที่มาเข้าร่วมฟังจะมีอยู่ 2 กลุ่มคือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคนที่เดือดร้อน ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนคือ เรื่องการทำมาหากินและปากท้องของชาวบ้าน ระดับความซับซ้อนและความยากในการสร้างความเข้าใจของนโยบาย สิ่งที่ต้องไปคิดต่อคือ มีวิธีการอะไรที่จะทาให้ประชาชนในยุคดิจิทัล (และต้องหาเช้ากินค่า) อยากและตัดสินใจมีส่วนร่วม และการเอื้ออำนวยต่าง ๆ ให้เกิดการมีส่วนร่วมที่ง่ายขึ้น

ประเด็นที่ 3 สังคมได้ประโยชน์จริง คำว่าสังคมคือใครมันจะสมดุลกันอย่างไร ควรคิดเชิงระยะยาวหน่อยเรื่องประโยชน์สาธารณะคิดเรื่องส่วนรวมมากกว่าส่วนตน คิดเรื่องระยะยาวอย่างยั่งยืนมากกว่าเฉพาะหน้า แต่ชาวบ้านที่มีปัญหาเฉพาะหน้าก็คงชอบนโยบายแบบประชานิยม ความยากคือเราไม่ได้หาจุดใดจุดหนึ่ง เราหาตรงกลาง อะไรที่เป็นกระบวนการที่ทำให้สมดุลระหว่างมีคนที่มีความรู้เรื่องนี้จริงๆ คิดไปสู่อนาคต สร้างเครื่องมือที่ทำให้คนจำนวนมากในยุคดิจิทัลเข้าถึงได้ง่าย เราต้องเข้าใจและในขณะเดียวกันต้องสมดุลระหว่างประโยชน์สาธารณะกับประโยชน์ส่วนตน

สามารถเข้าไปชมคลิปได้ที่ https://youtu.be/zhlKfVwSxP0

และยังมีเรื่องราวและองค์ความรู้ดี ๆ อีกมากมาย รอให้ทุกคนเข้าไปค้นหากันที่
“จดหมายเหตุไพบูลย์วัฒนศิริธรรม (ออนไลน์)” บนเว็บไซต์ www.paiboon.net

มูลนิธิหัวใจอาสา

มูลนิธิหัวใจอาสา ได้จัดทำ จดหมายเหตุ อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม นี้ขึ้นมา เพื่อรวบรวมแนวคิด และองค์ความรู้ รวมถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของอาจารย์ไพบูลย์ ไว้ให้ได้ศึกษากัน

ติดต่อเรา

: 2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310

mobile :

: 02 314 4112-3