พญ.ดวงดาว ศรียากูล กล่าวถึงกรณีศึกษาด้านนโยบายสาธารณสุขได้อย่างน่าสนใจ ในช่วงเสวนางานปาฐกถาไพบูลย์วัฒนศิริธรรม ครั้งที่ 9 หัวข้อ “นโยบายของจริง ประชาชนร่วมได้จริง สังคมได้ประโยชน์จริง” เมื่อ วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2566 ณ หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยสรุปได้ดังนี้
พญ.ดวงดาว จบจากคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีตั้งแต่ปี 2538 ทำงานเป็นแพทย์มาหลายปี ปัจจุบันทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลจังหวัดเพชรบูรณ์ อยู่กลุ่มภารกิจประถมภูมิ จึงอยู่ในชุมชนมากกว่าโรงพยาบาล เรียกว่าเป็นแพทย์ชุมชนก็ว่าได้ ห้องตรวจจะอยู่ที่ไหนก็ได้แล้วแต่ว่า ณ ตอนนั้นไปที่ไหน ภูมิใจในอาชีพของตัวเองมาก ว่าได้ทำงานกับตัวคนจริงๆ และรู้สึกว่าตัวเองได้ทำประโยชน์ให้กับคนได้เกือบตลอดเวลา ช่วงโควิด-19 ระบาดได้มีโอกาสทำโรงพยาบาลสนามจังหวัดเพชรบูรณ์ในช่วงสั้นๆ ดูแลคนที่เป็นโควิด-19 ร่วม 30,000 – 40,000 คน ได้ประสบการณ์อย่างมากเป็นงานที่ทำดูแลคนในชุมชนตั้งแต่ครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอนจริงๆ และมีเครือข่ายโรงพยาบาล 70 กว่าโรงพยาบาลที่ช่วยกันดูแลเคส คนไข้โรคเรื้อรัง เบาหวาน ความดัน ซึ่งถือเป็นงานบริการที่เป็นสาธารณสุขจริงๆ ได้ใช้องค์ความรู้ทางการแพทย์จริงๆ
แต่บางอย่างก็เป็นเรื่องของคุณภาพชีวิต เช่น
สิ่งที่พบปัจจุบันเด็กกำลังเข้าสู่วงจรเมื่อสัก 10 - 20 กว่าปีที่ผ่านมา เริ่มมีปัญหาเรื่องแม่วัยใส และเด็กที่เกิดจากแม่วัยใสกำลังเป็นวัยรุ่น ยังมีปัญหาแม่วัยใสหรือฝากปู่ย่าตายายเลี้ยง มี Generation Gap ที่ตามกันไม่ทัน
อีกกรณี เด็กที่เกิดมาจากพ่อแม่ที่พร้อมมากแล้ว แต่เพราะแรงกดดันจากความคาดหวังของพ่อแม่ ทำให้เกิดภาวะเครียด ซึมเศร้า กระโดดตึก และพบว่าการใช้ยาเสพติดของเด็กปัจจุบันเร็วขึ้น มีการเสพกัญชาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาแล้ว
ปัจจุบันปัญหามันใหญ่และรุนแรงขึ้น กรณีการฆ่าตัวตายของเด็กเริ่มขยับมาที่ชั้นประถมศึกษาแล้ว การเรียนรู้ของเด็กในแบบปัจจุบันทำให้เด็กมีปัญหาเชิงพฤติกรรม เมื่อคุยกับเด็ก บางคนไม่ได้มองว่าตัวเองคือปัญหา แต่มองว่ามันคือวิถีที่ปกติ
ดังนั้นการทำงานกับเด็กต้องเปลี่ยนมุมมองด้วยสายตาใหม่ อย่างกรณีของเด็กผู้หญิงที่พ่อแม่เศร้าเสียใจจากการเสียชีวิตของพี่ชายของเธอ จึงปล่อยปะละเลยเธอทำให้เธอต้องหนีออกจากบ้าน แล้วไปคบกับเพื่อนที่อยู่ในแวดวงยาเสพติด เธอจึงเข้าสู่วงจรของการค้ายาเสพติด ต้องอาศัยคุณครู จิตแพทย์คุยกับพ่อแม่ ช่วยกันดึงเด็กกลับมาใช้เวลาอยู่ 3 ปี ปัจจุบันเธอเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว วิชาชีพที่เธอเลือกคือครู เพราะครูสร้างชีวิตใหม่ให้เธอ
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเด็กคนนี้คือ ช่วงที่แด็กกลับมาในช่วงชั้น ม.5 เห็นการทำงานอนามัยโรงเรียน คือเข้าโรงเรียนไปฉีดวัคซีนให้เด็ก เธอบอกว่า “ดูเสียเวลาจังเลยต้องมาชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูงเด็ก งานพวกนี้หนูทำก็ได้” แล้วเธอก็อาสาไปตามเพื่อนมาช่วยทำด้วย และยังแนะนำว่า “ยังมีคนใช้ยาอยู่ไม่น้อย พวกหมอดีเกินไปหาไม่เจอหรอก ผีมันเห็นผี โจรมันต้องใช้โจรจับ หมอไม่ใช่โจรจับไม่ถูกหรอก” ทำให้ทราบว่าควรใช้คนให้เหมาะกับงาน
ดังนั้นจึงมอบให้พวกเด็กกลุ่มนี้ช่วยทำงาน เมื่อเขาทำแล้วเขาจะรู้สึกมีคุณค่า เขาจะรู้เองว่าเขาควรดึงคนไหนเข้ามา แต่บางคนเขาก็บอกว่า “คนนี้มันยังไม่เลิกหรอกอย่าเพิ่งไปยุ่งกับมันมาก เอาเลี้ยงๆ ไว้พอประมาณ แล้วเดี๋ยวค่อยดึงกลับ ถึงเวลาแล้วเดี๋ยวพวกหนูจะบอกนะคะ” และเด็กก็ทำงานกันอย่างต่อเนื่อง แล้วสร้างกันเองจากรุ่นสู่รุ่น มาจนถึงปัจจุบันก็เป็น Generation ที่ 9 แล้ว และกำลังทำ empower สร้างเขาให้เป็นหมอน้อยประจำประจำโรงเรียน
สิ่งหนึ่งที่หมอตกผลึกเรื่องหนึ่ง คือไม่อยากยุ่งกับนโยบาย เพราะเวลานโยบายลงมา มักจะเป็นนโยบายแบบสั่งการ สั่งให้ทำให้เสร็จ แล้วจะตามมาด้วยการติดตามตัวชี้วัด ทุกคนก็จะต้องส่งตัวชี้วัด เมื่อเป็นนโยบายก็ต้องทำ แต่ดูว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริงปัญหาใหญ่หรือปัญหาน้อย ทำกันเป็นแบบสหวิชาชีพ เมื่อเกิดปัญหาใหญ่ใดขึ้นก็ต้องไปคัดกรองเด็กนักเรียนทั้งหมดเพื่อหากลุ่มเสี่ยงเพื่อหาทางป้องกันแก้ไข
สามารถเข้าไปชมคลิปได้ที่ https://youtu.be/Pem6DOpS-TI
และยังมีเรื่องราวและองค์ความรู้ดี ๆ อีกมากมาย รอให้ทุกคนเข้าไปค้นหากันที่
“จดหมายเหตุไพบูลย์วัฒนศิริธรรม (ออนไลน์)” บนเว็บไซต์ www.paiboon.net